บทส่งท้าย

     ตั้งหลวงพ่อภรังสีได้รับนิมนต์จากชาวบ้านหลักเมือง ให้ขึ้นมาดูแลวัดภูพลานสูง หลวงพ่อได้ขึ้นมาอยู่วัดภูพลานสูงในปี ๒๕๔๗ และได้นิมิตเห็นพระบรมสารีรกธาตุข้อพระหัตถ์เบื้องขวา เมื่อหลวงพ่อตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าพระบรมสารีริกธาตุข้อพระหัตถ์เบื้องขวา ที่ประดิษฐานอยู่ที่ปราสาทหินนครอินปัตจะเสด็จมาสู่วัดภูพลานสูง วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๗ หลวงพ่อจึงได้เตรียมการรับเสด็จ โดยได้บอกบรรดาศิษย์ใกล้ชิดและญาติโยมร่วมกันรับเสด็จตามวันดังกล่าวพอเวลา ๑๙.๐๐ น. พระธาตุข้อพระหัตถ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับที่พระ หัตถ์ของพระพุทธชินราชบนลานธรรม เมื่อพระบรมสารีริกธาตุข้อพระหัตถ์เบื้องขวาได้เสด็จมาประดิษฐานวัดภูพลาน สูง พญานาคซึ่งมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อพระศาสนา ในวันที่ ๒๗ กรกฏาคม ๒๕๔๘ พญาศรีสุทโธนาคราชได้นำลูกแก้วพญานาคถวายหลวงพ่อ เพื่อเป็นการบูชาพระบรมสารีริกธาตุจำนวน ๕ ลูก และท้าวศรีสุริยะเทพอินทรวิญญาณอดีตเจ้าเมืองพนมรุ้ง ได้นำลูกแก้วมาถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระบรมสารีริกธาตุ ๒ ลูก

หลังจากที่หลวงพ่อภรังสีได้รับพระบรมสารีริกธาตุข้อพระหัตถ์เบื่องชวาแล้ว หลวงพ่อได้ทราบด้วยญาณว่าที่ปราสาทหินดังกล่าวยังมีพระบรมธาตุสรีรังคารอยู่ อีกและทราบว่าเทวดาจะนำมาถวายที่วัดภูพลานสูงในวันข้างหน้า เพราะของ ๒ สิ่งคือ พระบรมสารีริกธาตุข้อพระหัตถ์เบื้องขวาและพระสรีรังคารเคยประดิษฐานอยู่ด้วย กันที่ปราสาทหินหลังนี้ ในวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๘ เวลา ๑๗.๓๐ น. พระสรีรังคารพระบรมธาตุได้เสด็จมาที่วัดภูพลานสูงบริเวณหน้าพระสังกัจจายนะ หลวงพ่อได้ทำพิธีอัญเชิญมาไว้ที่ศาลาวิบูลธรรมธาดานุสรณ์

อยู่ต่อมาวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๘ เวลา ๐๔.๐๐ น. หลวงพ่อได้รับคัมภีร์โบราณส่วนแรก จำนวน ๔ แผ่น และในวันเดียวกันนั้นเองพญาศรีสุทโธนาคราชได้นำเกล็ดพญานาค ซึ่งเป็นเกล็ดของพระองค์ที่ได้ลอกคราบครั้งแรกมาถวายเป็นพุทธบูชาอีก เพื่อเป็นหลักฐานเป็นเครื่องยืนยันว่าพญาคมีความเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระ สัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมาอีกประมาณ ๙ เดือน ในวันที่ ๑๐ กรกฏาคม ๒๕๔๙ หลวงพ่อได้รับคัมภีร์โบราณส่วนที่ ๒ อีก ๑๑ แผ่น ซึ่งคัมภีร์ส่วนที่ ๒ นี้ได้เก็บรักษาไว้ที่เจดีย์ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่นครจำปาศรี พระคัมภีร์โบราณนี้ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่จะก้าวไปสู่เรื่องราวประวัติ ศาสตร์ การเดินทางของพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศอินเดียสูงสุวรรณภูมิ และเกี่ยวโยงไปถึงพระบรมสารีริกธาตุอื่น ๆ และเหตุการณ์ต่าง ๆ อีกมากมาย

ในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๙ เวลา ๑๖.๐๐ น. หลวงพ่อได้รับพระโลหิตธาตุและพระทันตธาตุขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งได้เสด็จลงที่มือของรูปปั้นหลวงปู่โมคคัลลานะที่วัดป่าคำบอน หลวงพ่อพร้อมบรรดาศิษย์ทั้งหลายทั้งพระฆราวาสญาติโยมได้ทำพิธีสวดสรรเสริญ พุทธคุณและสรงน้ำ จากนั้นได้อัญเชิญมาไว้ที่ลานธรรมวัดภูพลานสูงเป็นการชั่วคราว เพื่อเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้ชมพระบารมีและกราบไหว้บูชาอย่างใกล้ชิด

เมื่อหลายปีที่ผ่านมาหลวงพ่อได้นิมิตเห็นรอยเท้าใหญ่ปรากฏที่วัดภูพลานสูง หลวงพ่อไม่ได้สนใจนิมิตนั้น พอมีโอกาสมาศึกษาค้นคว้าจากพระคัมภีร์โบราณจึงทำให้ทราบว่าที่ภูพลานสูงมี รอยพระบาทซ่อนไว้เป็นพัน ๆ ปี หลวงพ่อจึงได้ทำการค้นหาตำแหน่งที่ซ่อนของรอยพระพุทธบาท ซึ่งจุดพิกัดจะอยู่ใกล้ ๆ กับบ่อน้ำบุ้นในคืนวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๙ เวลา ๒๓.๐๐ น. หลวงพ่อจึงได้พาญาติโยมพร้อมพระเดินทางไปที่บ่อน้ำบุ้น จากนั้นหลวงพ่อได้นั่งสวดพระคาถาตามคัมภีร์โบราณเพื่อเปิดรอยพระพุทธบาท พอสวดเสร็จปรากฏว่ามีแสงเหมือนดาวตกพุ่งลงที่พื้นห่างจากที่คณะนั่งไปประมาณ ๑๐ เมตร คณะลูกศิษย์จึงพากันไปดูตรงที่ดาวตกนั้นปรากฏว่าที่ตรงนั้นมีละอองควันสีขาว พวยพุ่งออกมา ตรงริเวณนั้นมีใบไม้ใหญ้าปกคลุมหนาพอประมาณเป็นบปริมณฑลหนึ่งตารางเมตร บรรดาลูกศิษย์จึงได้ช่วยกันดึงรากไม้เก็บใบหญ้าที่ปกคลุมออก เมื่อดึงสิ่งกีดขวางออกทุกสายตาต่างตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า เป็นรอยพระพุทธบาทสีขาวบริสุทธิ์ มีลักษณะกลม ๆ นิ่ม ๆ คล้ายดอกบัว มีกลีบบัวอยู่รอบ ๆ ๑๗ กลีบ เมื่อทำความสะอาดเสร็จ หลวงพ่อได้เอาศอกไปวัดดูรอบรอยพระบาทนั้น ปรากฏว่ารอบพระบาทนั้นค่อย ๆ ขยายออกจนวัดได้หนึ่งศอกพอดี รอยพระบาทนี้อยู่ติดกับก้อนหินสูงขึ้นมาประมาณ ๕ นิ้ว ในรอยพระบาทนั้นสะอาดบริสุทธิ์เหมือนมีคนมาทำความสะอาดไว้ ทั้ง ๆ ที่อยู่ใต้ใบไม้ใบหญ้า พอเปิดออกมารอยพระบาทถูกกับอากาศก็มีปฏิกิริยาคล้ายกับน้ำเดือด แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลและสีดำเข้ม ลักษณะที่อ่อนนิ่มเริ่มแข็งตัว วัดความยามได้ ๔๖ เซนติเมตร กว้าง ๙ นิ้ว มีลักษณะเรียบเสมอเป็นรอยพระพุทธบาทเบื้องขวา

วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อได้นำพาสาธุชนขึ้นไปทำความสะอาดก่ออิฐโบกปูนรอบ ๆ รอยพระพุทธบาท เพื่อป้องกันรอยพระพุทธบาทไม่ให้ชำรุดเสียหาย และได้ทำพิธีเปิดรอยพระพุทธบาทอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๙ โดยมีการทำบุญตักบาตรบวชต้นไม้ อุทิศส่วนกุศลให้แก่ทวยเทพและวิญญาณทั้งหลายที่เฝ้ารักษารอยพระพุทธบาทมาจน ถึงยุคของพวกเรา

ย้อนหลังไปเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระชามายุได้ ๕๐ พรรษา พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระสัพพัญญุตญาณว่าในอนาคตกลาลเบื้องหน้ากึ่งพุทธกาล ศาสนาของพระพุทธองค์จะเจริญรุ่งเรื่อง ณ ชมพูทวีปแดนสุวรรณภูมิดังนั้นพระพุทธองค์พร้อมด้วยพระอรหันตสาวกมีพระมหากัส สปะ พระมหาโมคคัลลานะ พระสีวลี พระมหากัจจายนะ และพระอานนท์ ฯลฯ ได้เสด็จมายังภูพลานสูงเพื่อแสดงธรรมโปรดพระเทวจักร กิตฺติโก ผู้เป็นประธานสงฆ์ เมื่อเสด็จมาถึงภูพลานสูงพระพุทธองค์ได้เสด็จไปตรงบริเวณหน้าผาด้านทิศตะวัน ตกของภูพลานสูง แล้วทรงเอาฝ่าพระหัตถ์เบื้องซ้ายลูบหน้าผาพร้อมกับตรัสว่า “ในอนาคตเบื้องหน้ากึ่งพุทธกาลสถานที่ตรงนี้ จะเป็นหน้าผาประวัติศาสตร์” จากนั้นพระพุทธองค์ได้เสด็จเยื้องไปทางทิศทักษิณ ๒ ก้าวแล้วทรงลูบหน้าผาด้วยฝ่าพระหัตถ์ทั้ง ๒ ข้าง พร้อมประทานพรว่า “ขอให้สำเร็จ” ในขณะที่ทรงลูกหน้าผานั้นแผ่นหินได้ทำปฏิกิริยารองรับฝ่าพระหัตถ์ของพระ พุทธองค์

เมื่อพระพุทธองค์ทรงประทับฝ่าพระหัตถ์พร้อมทั้งทรงอธิษฐาน เสร็จแล้วพระมหากัสสปะได้นำต้นไม้จากประเทศอินเดียมาปลูกไว้ที่หน้าถ้ำมังกร ต้นไม้นั้นเรียกตามภาษาพื้นบ้านว่า “ต้นเหนี่ยง” ซึ่งมีเพียงต้นเดียวในภูเขาลูกนี้ จากนั้นพระพุทธองค์ได้เสด็จขึ้นสู่ยอดเขา ทรงตรัสให้พระโมคคัลลานะและพระสีวลีนำก้อนหินที่ปิดทางน้ำออก ทำให้มีน้ำไหลพวยพุ่งออกมา กลายเป็น “บ่อน้ำบุ้น” มาจนถึงปัจจุบันนี้จากนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงสรงน้ำที่บ่น้ำบุ้น เสร็จแล้วพระสีวลี พระโมคคัลลานะและมหาสาวก ได้จัดหามวลสารต่าง ๆ มีแร่เงิน แร่ทองคำ แร่ทองขาว มาผสมรวมกันเพื่อเตรียมให้พระพุทธองค์ประทับรอยพระพุทธบาท พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานมหาบุคคลผู้มารองรับศาสนาของพระองค์ในกึ่งพุทธกาล เสร็จแล้วทรงประทับรอยพระบาทเบื้องขวา เมื่อทรงประทับรอยพระพุทธบาทเสร็จพื้นดินสั่นสะเทือน แสดงปฏิกิริยาขึ้นมารองรับรอยพระบาท ความสั่นสะเทือนของพื้นพสุธาได้ดังสนั่นไปถึงเมืองบาดาล ท้าวศรีสุทโธพร้อมกับกรรมมหาฤทธิ์ได้เสด็จขึ้นมาตามบ่น้ำบุ้น เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ กรรมมหาฤทธิ์กราบทูลต่อพระพุทธองค์ว่า มีความปรารถนาที่จะมารองรับสือต่ออายุพระศาสนาของพระพุทธองค์ในกึ่งศตวรรษ พระพุทธองค์ตรัสประทานพรให้แก่กรรมมหาฤทธิ์

ต่อมาอีก ๗ ปี พระพุทธองค์ได้เสด็จกลับสู่เมืองโครตภูอีกครั้ง ทรงสรงน้ำที่ถ้ำพระระฆัง ทรงแสดงธรรมโปรดพระเทวจักรที่ถ้ำพระสาวก ครั้งนี้พระพุทธองค์ได้ตรัสให้พระมหากัสสปะบันทึกตำนานนี้ไว้ในพระคัมภีร์ เพื่อเป็นหลักฐาน และพระโมคคัลลานะได้จารึกคัมภีร์พระยาธรรม ๑๒ ผูกใส่แผ่นทองคำ มอบให้ท้าวศรีสุทโธนำไปเก็บรักษาไว้ที่เมืองบาดาล เพื่อรอคอยพระยาธรรมที่จะมาเกิดในภายภาคหน้าพระเทวจักรได้ทูลขอพระนขาเพื่อ ประดิษฐานไว้ที่เมืองโครตภู พระพุทธองค์ทรงมอบพระนขาเบื่องขวาแก่พระเทวจักร ต่อมาภายหลังพระมหากัสสปะได้ทูลขอพระบรมพุทธานุญาตสร้างพระพุทธรูปทองคำ เพื่อบรรจุพระนขาที่พระเทวจักรได้รับพระราชทานจากพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงอนุญาตและประทานนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระโคตมะ” ประดิษฐานไว้ที่เมืองโครตภู

          พระพุทธองค์ได้ทรงมอบภาระหน้าที่ในการดูแลรักษารอยพระบาท รอยพระหัตถ์ ฯลฯ แก่พระเทวจักร พระเทวจักรจึงได้บันทึกเรื่องราวที่ได้รับมอบหมายจากพระพุทธองค์ใส่ไว้ในพระ คัมภีร์ และได้ทำพินัยกรรมไว้ว่า “ต่อไปในภายภาคหน้าเมื่อมีพระยา ธรรมมาเกิด และได้ค้นพบพระคัมภีร์นี้แล้ว ให้นำพระคัมภีร์มาจารึกใส่ที่หน้าผาภูพลานสูง เมื่อทำสำเร็จแล้วจึงให้ประกาศเปิดรอยพระหัตถ์สืบต่อไป

          เมื่อหลวงพ่อและคณะศิษยานุศิษย์ได้ทำการจารึกคัมภีร์โบราณ ไว้ที่หน้าผาภูพลานสูงเสร็จ จึงได้ทำพิธีเปิดรอยพระหัตถ์เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๑ เพื่อให้เป็นตำนานหน้าผาประวัติศาสตร์สืบต่อไป

          มูลเหตุแห่งการค้นพบหลวงพ่อโคตรมะนั้น หลวงพ่อภรังสีได้ยินกิตติศัพท์ว่าวัดบ้านแสนชะนีเป็นสถานที่อาถรรพณ์ไม่มี พระเณรไปอยู่ได้เลย หลวงพ่ออยากทราบว่าเกิดจากสาเหตุอะไร หลวงพ่อจึงไปนั่งภาวนาที่วัดแสนชะนี และได้ติดต่อกับวิญญาณหลวงปู่โคตมะ จึงได้ทราบว่ามีพระพุทธรูปทองคำฝังอยู่ใต้พื้นดิน หน้าตัก ๔ ศอก ๑ คืบ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้พระเณรอยู่ไม่ได้ เมื่อหลวงพ่อได้พิจารณาเห็นพระพุทธคุณอันยิ่งใหญ่ขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าแล้ว หลวงพ่อจึงได้ขออนุญาตสร้างตัวตนถวายพระพุทธองค์ที่ได้ทรงอุบัติขึ้น ณ ดินแดนสุวรรณภูมิในยุคกึ่งพุทธกาลครอบองค์พระโคตรมะองค์เดิมที่จมอยู่ใต้ พื้นดิน และขออนุญาตเรียกชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “หลวงพ่อโตโคตมะ”มีหน้าตักกว้าง ๗.๖๙ เมตร สูง ๙.๒๙ เมตร เพื่อความเป็นสิริมงคล เพื่อความเจริญรุ่งเรืองมั่นคงถาวรแก่ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์สืบต่อไป โดยประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ในวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๔๘ แล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐

          จากเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดนขึ้นกับหลวงพ่อภรังสีดังที่กล่าวมาข้างต้นเหตุการณ์เหล่านี้เป็น เพียงเรื่องราวที่มิได้บันทึกไว้ในพระไตรปิฏก แต่พระบรมศาสดาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระประสงค์จะให้มาบังเกิดขึ้นในยุค นี้ ในยุคศิวิไลซ์ ซึ่งเป็นกึ่งศตวรรษกึ่งพุทธกาลที่จะมีบุคคลผู้มีบุญมารองรับพระศาสนา องพระองค์ซึ่งในตำนานในคัมภีร์ได้บอกไว้ หลวงพ่อและบรรดาพุทธบริษัทผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายต่างพากันมาเตรียมการรองรับ ผู้มีบุญญาธิการมารองรับศาสนาในอนาคต พวกเรามาช่วยกันสร้างมาช่วยกันทำงานถวายพระพุทธองค์ ในการทำงานทุกอย่างต้องมีปัญหาและอุปสรรคจะมากจะน้อย แล้วแต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้ลุล่วงไปได้อย่างไร หลวงพ่อเองก็ประสบกับโลกธรรมที่มากระทบ แต่ท่านก็แก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยเมตตาธรรม โดยอาศัยอำนาจพุทธบารมีขององค์พระบรมศาสดา และยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ทำให้ปัญหาทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี

          ปัญหาที่คนส่วนใหญ่มักถามหลวงพ่อว่า พระบรมสารีริกธาตุมีจริงหรือของปลอมหรือเปล่า สร้างเรื่องสร้างตำนานขึ้นมาหรือเปล่า ฯลฯ ร้อยแปดคำถามหลวงพ่อก็ใจเย็นตอบคำถามเขาเหล่านั้นให้คลายความสงสัยไปได้บ้าง แต่ไม่ทั้งหมดเพราะบางคนก็เชื่อบางคนก็ไม่เชื่อ นั้นเป็นปกติวิสัยของมนุษย์ ตามที่ผู้เขียนได้ศึกษาได้ฟังมา เกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุต่าง ๆ ที่มาปรากฏให้พวกเราได้เห็น ก็มีรูปพรรณสัณฐานต่างกันออกไป เช่น ดังเม็ดข้าวสาร ดั่งถั่ว ดั่งงา และดั่งเมล็ดพันธุผักกาดส่วนสีสันเท่าที่ปรากฏก็มี สีขาวบ้าง สีชมพูบ้าง สีน้ำตาลบ้าง สีทอง สีเทา สีดำ สีแดง สีเขียวไข่นกการะเวก สีกากี และสีใส ๆ ตั้งแต่ใสขุน ๆ ไปจนถึงใสเหมือนเพชรก็มี

          แต่ในความเป็นจริงแล้วพระบรมสารีริกธาตุยังมีสัณฐานพิเศษที่นอกเหนือจากตำรา โบราณกล่าวไว้อีกมากมาย พระธาตุที่ปรากฏกันอยู่ทั่วไปนั้นแบ่งออกได้เป็น ๒ อย่างคือ พระธาตุของพระพุทธเจ้า ที่เราเรียกว่า “พระบรมสารีริกธาตุ” และพระธาตุของพระอรหันต์ ที่เรียกว่า “พระอรหันตธาตุ” พระธาตุของพระพุทธเจ้าก็คือส่วนพระวรกายของพระพุทธองค์ที่กลายเป็นพระธาตุ แยกออกเป็นส่วนที่เป็นของแข็งคือกระดูก และส่วนที่เป็นของอ่อน ส่วนที่เป็นเนื้อหนังและอวัยวะภายในทั้งหมดกล่าวคือทั้งพระวรกายของพระ พุทธองค์ กลายเป็นพระธาตุทั้งหมด

          ผู้เขียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นเพื่อเป็นการสนองกิเลสตัณหา ผู้เขียนและเพื่อน ๆ จึงพากันขับรถมาตามแผนที่ เพราะไม่รู้จักวัดภูพลานสูง ผู้เขียนได้พบกับหลวงพ่อภรังสีโดยบังเอิญ ครั้งแรก ผู้เขียนไม่ทราบว่าท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านกำลังนั่งสนทนาธรรมอยู่กับญาติโยมที่มาหา ผู้เขียนเข้าไปกราบท่าน ท่านก็เมตตาหันมาถามว่ามาทำอะไรกันหรือ ผู้เขียนตอบว่า มากราบพระบรมสารีริกธาตุและขอพระให้คำปรารถนาของข้าพเจ้าจงสำเร็จ ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารนี้อีก หลวงพ่อพูดว่า มันยากนะโยม ผู้เขียนตอบท่านว่า ถึงจะยากสักเพียงใดถ้ามีความพยายามมุ่งมั่นมานะอดทน มีความเพียรปฏิบัติธรรมเพื่อ ลด ละ เลิก และปล่อยวางทุกอย่าง สักวันหนึ่งก็คงจะไปถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้ หลวงพ่อตอบว่า สาธุ ถ้าโยมทำได้ก็ขออนุโมทนาด้วย จากนั้นผู้เขียนก็กราบลาท่านและได้ถ่ายรูปพระบรมสารีริกธาตุไปให้เพื่อน ๆ ที่ไม่มีโอกาสได้มาชมได้เห็นเป็นบุญตา

          ด้วยเมตตาธรรมของหลวงพ่อหรือด้วยความผูกพันอะไรบางอย่าง ทำให้ผู้เขียนอยากมาวัดภูพลานสูงอีก พอมีช่วงเวลาว่างผู้เขียนก็จะชวนเพื่อนนั่งรถมาวัดภูพลานสูง ครั้งนี้ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ หลวงพ่อเมตตาเล่าเรื่องต่าง ๆให้ผู้เขียนได้รับทราบมันเป็นสิ่งลี้ลับและอัศจรรย์จริง ๆ ผู้เขียนรู้สึกเป็นมงคลมากที่ได้มากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมดที่ ปรากฏเกิดขึ้นที่วัดภูพลานสูง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่าสิ่งที่มนุษย์หาได้ยากในโลกนี้ มี ๓ อย่าง คือ

-         การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

-         การที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา

    การที่ได้สดับฟังพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะมนุษย์ ทั้งหลายที่เกิดมาด้วยกรรมที่กระทำไว้แตกต่างกัน กรรมจึงจำแนกมนุษย์และสัตว์ให้แตกต่างกัน การที่พวกเราได้มีโอกาสมาสัมผัสสัจธรรมความดีงามของพระสัมมาสัมพทธเจ้า พวกเราจะต้องมีบุญกุศลที่เป็นต้นทุนที่ได้กระทำไว้บ้าง พวกเราทั้งหลายควรภูมิในที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนาอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทย เราควรจะรักใคร่ปรองดองกันสามัคคีกันไว้ เป็นพลเมืองที่ดี รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะชีวิตคนเรานั้นจะอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นาน ในที่สุทุกคนก็จะจากโลกนี้ไป