รอยพระพุทธบาท จากนั้นพระองค์ก็เสด็จมาเพื่อประทับรอยพระพุทธบาท พระพุทธองค์สั่งให้พระมหาโมคคัลลานะกับสีวลีจัดเตรียมสถานที่ที่จะประทับรอย พระพุทธบาทเพื่อเสี่ยงทายหาผู้ที่จะมารองรับศาสนาของพระพุทธองค์ในยุคนั้น ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จมาที่สุวรรณภูมิ (ภูพลานสูง) ในครั้งนั้น พระสารีบุตรนั่งเป็นประธานสงฆ์อยู่ที่เมืองโกสัมพี พระพุทธองค์มีประสงค์จะไม่ให้พระสารีบุตรตามไปด้วย เพราะถ้าพระสารีบุตรตามพระพุทธองค์มาด้วย พระสารีบุตรจะต้องบันทึกเรื่องราวนี้เข้าไปอยู่ในพระไตรปิฏก ตรงนี้พระโมคคัลลานะเป็นผู้ขอร้องเรื่องนี้ ดังนั้นพระพุทธองค์จึงให้พระสารีบุตรไปดูงานที่อื่น จากนั้นพระพุทธองค์ก็ได้เสด็จจากเมืองโกสัมพีมาที่สุวรรณภูมิ โดยมีพระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระสีวลีตามเสด็จพระพุทธองค์ เมื่อพระสารีบุตรไปดูงานเสร็จกลับมาถึงวัดก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จกลับ พระสารีบุตรไม่เห็นพระพุทธองค์ ได้ถามพระเณรว่าเห็นพระพุทธองค์ไหม รู้ไหมว่าพระพุทธองค์อยู่ที่ใด ทำไมเรามองไม่เห็น พระสารีบุตรมองยังไงก็มองไม่เห็น ส่งญาณไปที่ไหนก็มองไม่เห็น พระสารีบุตรก็งงในช่วงนั้น พระโมคคัลลานะได้ใช้อำนาจฤทธิ์ปิดบังพระสารีบุตรไม่ให้เห็นพระพุทธองค์ ส่วนพระสีวลีได้ไปเอาดินจากประเทศอินเดีย พระโมคคัลลานะได้ไปเอาแร่เงินแร่คำ (ทองคำ) ทองคำขาว ทองคำมารวมกันเอามามูลใส่ด้วยกัน แล้วนิมนต์พระพุทธองค์ประทับรอยพระบาทจากนั้นพระพุทธองค์ทรงเสี่ยงทายหาผู้ ที่จะมารองรับพระศาสนาของพระองค์ ในครั้งนั้นพระพุทธองค์จึงได้พบกับกรรมมหาฤทธิ์พญานาค ขึ้นมาจากบาดาลตรงบ่อน้ำบุ้น ได้ขึ้นมากอดพระบาทพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ดูก่อนกรรมมหาฤทธิ์ เ ธอมีบุญมากล้น ทำไมไปแฝงตนในคราบสัตว์เดรัจฉานเล่า เธอปรารถนาสิ่งใดหรือกรรมมหาฤทธิ์” กรรมมหาฤทธิ์ได้ทูลตอบพระพุทธองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้าปรารถนาที่จะมารองรับพระศาสนาของพระองค์ในกึ่งศตวรรษ” “ดีแล้ว กรรมมหาฤทธิ์เราจะให้แก่เธอ เพราะเธอบำเพ็ญตบะบารมีมา๓๒ ชาติเท่ากับอาการ ๓๒ ของมนุษย์ เราจะให้แก่เธอกรรมมหาฤทธิ์” เสร็จแล้วกรรมมหาฤทธิ์ก็กลับไปเมืองบาดาลพร้อมพญาศรีสุทโธนาคราชหลังจากนั้น เมื่อพระพุทธองค์ทรงทำภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ได้แยกทางกับพระมหากัสสปะ พระสีวลีเดินทางกลับไปเมืองโกสัมพี ส่วนพระพุทธองค์กับพระโมคคัลลานะลงไปโปรดกรรมมหาฤทธิ์ยังเมืองบาดาล เมื่อถึงเมืองบาดาลพระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดกรรมมหาฤทธิ์ แผ่บารมีโปรดกรรมมหาฤทธิ์จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์เพื่อรอมาเกิดในราชวงศ์ ปัจจุบัน นี่ท่านบันทึกไว้ชัดเจนในหนังสือพระคัมภีร์ นั่นคือเรื่องราวของสุริยะธาตุ เป็น ม.ศ. ถ้าไม่มาบรรจบ ๕ สมัยของรัฐบาลมันจะทิ้งหมด ทิ้งศาสนาทิ้งสถาบันพระมหากษัตริย์ จากนั้นท่านก็เอาสีมากั้นให้เป็นยุคสี ท่านจึงเอาสีมากั้นไว้ ให้มันเกิดเรื่องราวใหญ่โตวุ่นวายไปทุกอย่าง มันไม่เกิดก็ทำให้มันเกิดเพื่อสกัดกั้นขวางทางเอาไว้ สุดท้ายมันเดินไปไม่ได้มันก็กลับมาที่จุดเดิม สุดท้ายก็มาบรรจบรัฐบาลท่าน นายกฯ อภิสิทธิ์และจบลงด้วยการยุบสภา นั่นคือ ๕ สมัยของรัฐบาล ตั้งแต่ท่านนายกฯ ทักษิณมาถึงท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ๕ สมัย นี่แหละเรียกว่ามาบรรจบ ถ้าหมดวาระไม่ใช่คือทำให้เห็นว่าเขาไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เมื่อเขาแก้ปัญหาไม่ได้ก็ต้องยุบสภา มันมีกลไกมันมีอยู่ในตำนาน มันเข้าสู่ตำนานเราเป็นคนดูแลตำนาน รู้ตำนานในเรื่องนี้ เขาไม่รู้ไม่เกี่ยวกัน เขาเป็นตัวละครที่อยู่ในตำนาน แต่จะเป็นอะไรก็ช่างเขาเราชนะ เราไม่ใช่เป็นตัวม๊อบ ชัยชนะของหลวงพ่อก็คือตำนาน มันเป็นตำนานของเรา ทุกคนเป็นตัวแสดงเป็นตัวอะไรก็ได้ เล่นไปตามบท แต่บทละครเป็นของเราเป็นตำนาน สุดท้ายเรื่องนี้ก็เกิดเป็นตำนานขึ้นมา ทุกอย่างมันเกิดจากสุริยะธาตุทั้งนั้น สุริยะธาตุทำให้เกิด เหมือนครั้งพุทธกาลเมืองเวสาลีไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง บ้านเมืองเลยเกิดฝนแล้งข้าวยากหมากแพงประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เพราะเจ้าเมืองไม่เชื่อไม่ศรัทธาในพระพุทธเจ้า ครั้นเจ้าเมืองเวสาลีไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วทูลเชิญให้พระพุทธเจ้าเสด็จ มาเมืองเวสาลี บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปจากฝนแล้ง ฝนก็ตกข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ พระพุทธองค์ทรงประทานธรรมะเวสาลี (อปริหานิยธรรม ๗ ประการ ให้แก่เจ้าเมืองเวสาลี) เมื่อสุริยะธาตุมาปรากฏขึ้นที่วัดภูพลานสูง เบื้องบนไม่มารับรองพระพุทธองค์ เรื่องมันก็เกิดความวุ่นวายขึ้นในเมืองหลวงมันวุ่นวายไปทั่วโลก ภูเขาไฟระเบิด น้ำทะเลพัดกระหน่ำ แผ่นดินไหว เกิดพายุพัดถล่มบ้านเมือง หมู่บ้านหมู่เมืองต่าง ๆ เกิดการทะเลาะเบาะแว้งเข่นฆ่ากันทุกวัน มันเข้าสู่กลียุคตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ประมวลบรรจบแล้ว แต่ไม่ใช่จบประมวลบรรจบเรื่องราวต่าง ๆ บรรจบเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ถ้าไม่เชื่อก็จะได้เห็นภัยพิบัติ แน่นอนใน ปัจจุบันนี้ภัยคุกคามกำลังเข้าสู่มวลมนุษยชาติชั้นวรรณะ ทั่วทั้งโลกจะประสบเคราะห์กรรม พระสงฆ์ในศาสนาจะประสบเคราะห์กรรมมาก ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นมากมาย ถ้าเราไม่เตรียมการถวายงานพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ได้เตรียมการรับผู้มีบุญบารมีที่จะมารองรับพระศาสนา สืบราชวงศ์ ฉะนั้นเราต้องเตรียมการให้พร้อมทั้งตำนานเอกสารให้พร้อมทุกอย่าง เมื่อผู้มีบุญบารมีเจริญวัยขึ้นมาเขาจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้ มีหนังสือตำนานเหล่านี้รองรับ เตรียมการไว้หมดทุกอย่าง ลูกหลานเกิดมาภายหลังจะได้ศึกษาต่อไป ตำนานเหล่านี้จะเป็นที่กล่าวขานสืบต่อไป แต่ตรงภูพลานสูงตรงนี้จะเจริญทีหลัง ทั่วภูมิภาคอีสานจะเจริญหมดทุกจังหวัด สุดท้ายก็จะมารวมกันอยู่ที่ตรงนี้ ตรงนี้เป็นจุดศูนย์กลาง ศูนย์รวมสุดยอด มันจะเกิดตรงนี้ เมื่อพระพุทธองค์ทรงเวนตรงนั้นให้เจริญ ก็คือว่าบางคนมีศรัทธา จะมาช่วยทำงานก็ผลักออก ไม่ให้ทำเพราะยังไม่ถึงเวลา ต้องรอต้องยับยั้งเอาไว้ ถ้าคนมีศรัทธาขึ้นมาช่วยกันทำงานทั้งหมดภูเขาภูพลานสูงไม่มีเหลือแล้วพัง หมด ถ้าคนในชุมชนวัดภูพลานสูงเขาเกิดศรัทธา พวกเราจะไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาทำอะไรได้เลย จะมานั่งคุยกับหลวงพ่อก็ไม่ได้ ช่วงที่หลวงพ่อขึ้นมาอยู่ที่นี่ ชาวบ้านก็ขึ้นมาดูแล พระเณรลงไปบิณฑบาตเขาก็ใส่บาตร ปัจจุบันนี้วัดภูพลานสูงมีพระเณรเถรชีจำนวนมากมายอยู่ด้วย แต่ก็มีผู้ใจบุญนำข้าวปลาอาหารมาให้ไม่อดไม่อยาก แม้แต่พระต่างนิกายก็มาอยู่ได้ หลวงพ่อไม่ถือนานาสังวาส ไม่ว่าจะเป็นสายธรรมยุตสายมหานิกายก็อยู่ได้ พระพุทธองค์เวนให้หลวงพ่อไปดูไปอยู่มาทุกสังกัด เสร็จแล้วให้มานั่งเป็นกลางอยู่ที่นี่ เพราะหลวงพ่อไปศึกษาไปปฏิบัติมาหมดทุกนิกายทุกสาขา ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อมาอยู่ที่นี่ทุกสำนักทุกนิกายมาอยู่ร่วมกันได้หลวง พ่อเปิดให้เป็นกลาง เพราะพระพุทธองค์ทรงเป็นกลาง ไม่ได้เป็นของใคร เป็นของพวกเราชาวพุทธ ฉะนั้นหลวงพ่อจึงอยู่เป็นกลาง พระพุทธองค์ประสงค์ให้เป็นกลางไม่ให้เป็นของใคร แต่ก็มีหลายนิกาย หลายสายที่เข้ามาจะเป็นใหญ่ หลวงพ่อไม่ยอมเพราะผิดวัตถุประสงค์ สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดก็คือตำนานคัมภีร์โบราณของหลวงพ่อ พวกเขาต้องการอยากเป็นเจ้าของตำนาน แต่หลวงพ่อไม่ให้ใครให้อยู่เป็นกลางอย่างนี้ พระพุทธองค์ไม่ให้ใคร ด้วยเหตุที่คณะสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่มาดูแลเรื่องนี้ ไม่มาเอาใจใส่ไม่มารองรับ เพราะเหตุที่พวกเขาไม่เชื่อว่าไปทางฝ่ายธรรมยุตเชื่อวัดปทุมวนาราม ได้มาอาราธนาพระบรมธาตุข้อพระหัตถ์เบื้องขวาไปไว้วัดปทุมวนารามให้ประชาชนใน กรุงเทพฯ ได้ไปสักการบูชา เขาเชื่อแต่ความเชื่อของเขาเป็นกิเลสเขาอยากได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งของที่เขาต้องการ มันจึงเป็นเรื่องเป็นราวถูกสาป เหตุมันจึงเกิดขึ้นที่วัดปทุมวนารามเรื่องราวต่าง ๆ ม๊อบก็ไปบรรจบลงตรงนั้น เกิดความวุ่นวายฆ่ากันตายภายในวัด วัดปทุมวนารามถูกสาปเหตุการณ์วุ่นวายจึงไปเกิดขึ้นที่ตรงนั้น มีหลายคนแนะนำให้หลวงพ่อเอาพระบรมสารีริกธาตุทั้งหมด ใส่ยามไปให้ผู้ใหญ่ที่สนใจชม หลวงพ่อบอกว่า การที่พระเขี้ยวฝาง พระพุทธโลหิต พระพุทธนขา ซึ่งเป็นของสดไม่ได้ถูกเผาเปรียบเสมือน พระพุทธเจ้ายังมีพระชนมายุอยู่ยังไม่ตาย จะให้ใส่ย่ามไปโน่นไปนี่เป็นการไม่ถูกต้อง ไม่สมพระเกียรติขององค์พระสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเสด็จทั้งองค์ทำอย่างนั้นได้อย่างไร ถ้าเราไม่เตรียม การรับเสด็จให้สมพระเกียรติ อย่างหวังเลยว่าบ้านเมืองมันจะเกิดความสงบ มันจะถล่มทลายลง มีบางคนแนะนำให้หลวงพ่อเอาใส่ย่ามไปถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสรง น้ำ ทำอย่างนั้นไม่ได้ไม่สมพระเกียรติพระพุทธเจ้า ถ้าเอาใส่ย่ามไป กรุงเทพฯ จะต้องจมบาดาลนี่คือพระพุทธองค์ เรานี่นะไม่ใช่ธรรมดาฟ้าสะเทือนดินสะเทือน มันเป็นเรื่องอัศจรรย์จริง ๆ เมื่อไม่เชื่อแล้วไม่นานก็จะได้เห็นเหตุวิบัติต่าง ๆ จะเกิดขึ้น ปัจจุบันที่ผ่านมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ จนถึงปัจจุบันนี้ เข้ามาในยุคนี้มันจะเกิดเรื่องขึ้นเรื่อย ๆ เพราะอำนาจของสุริยะธาตุปรากฏขึ้นนั่นเองการค้นพบรอยพระพุทธบาทหลวงพ่อเล่า ให้ผู้เขียนฟังว่าหลวงพ่อได้นิมิตเห็นรอยเท้าใหญ่ ปรากฏที่วัดภูพลานสูง แต่หลวงพ่อก็ไม่ได้สนใจติดตามนิมิตนั้น จนได้มาทราบจากพระคัมภีร์โบราณว่า ที่ภูพลานสูงมีรอยพระพุทธบาทอายุเป็นพัน ๆ ปีซุกซ่อนอยู่ หลวงพ่อจึงได้ทำการค้นหาตำแหน่งของรอยพระพุทธบาท จนทราบสถานที่แน่นอน หลวงพ่อจึงได้บอกญาติโยมว่า รอยพระพุทธบาทอยู่ใกล้กับบ่อน้ำบุ้น (น้ำผุด) ตกดึกของคืนวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๔๙ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ เวลา ๒๓.๐๐ น. หลวงพ่อและพระลูกศิษย์ ๔ รูป และฆราวาสอีก ๓ คน ได้เดินทางไปที่บ่อน้ำบุ้น เมื่อไปถึงบริเวณบ่อน้ำบุ้น หลวงพ่อนั่งสวดมนต์ภาวนาคาถาตามพระคัมภีร์โบราณ เพื่อเปิดรอยพระพุทธบาท พอสวดเสร็จปรากฏว่ามีลำแสงคล้ายดาวตกพุ่งลงที่พื้นดินห่างจากจุดที่หลวงพ่อ นั่งอยู่ประมาณ ๑๐ เมตร จึงพากันเดินไปดูตรงบริเวณที่ดาวตก พบรากไม้และหญ้าจึงช่วยกันดึงออก เมื่อรากไม้และใบหญ้าได้ถูกเปิดออก ทุกคนต่างตะลึงกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า มันเป็นรอยพระพุทธบาทสีขาวบริสุทธิ์มีลักษณะเป็นวงรี รอบ ๆ ขอบมีกลีบคล้ายกลีบบัวนับได้ ๑๗ กลีบ รอยพระพุทธบาทติดอยู่กับก้อนหินสูงขึ้นมาประมาณ ๕ นิ้ว ในรอยพระพุทธบาทสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีสิ่งใดแปดเปื้อน ทั้ง ๆ ที่อยู่ใต้เศษใบไม้ ใบหญ้า รอยพระพุทธบาทพอถูกอากาศสักครู่เริ่มมีปฏิกิริยาคล้ายน้ำเดือด เมื่อจับดูมีลักษณธอ่อนนิ่ม แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและดำเข้ม และเริ่มแข็งตัว พื้นหน้าเรียบเสมอ วัดความยาวของรอยพระพุทธบาทได้ ๔๙ เซนติเมตร กว้าง ๙ นิ้ว เป็นรอยพระพุทธบาทข้างขวาขนาดเท่าพระบาทจริงของพระพุทธองค์ จากนั้นหลวงพ่อได้นำอิฐมาล้อมรอบรอยพระพุทธบาทไว้ รุ่งเช้าหลวงพ่อจึงพาญาติโยมขึ้นไปทำความสะอาดก่ออิฐถือปูนรอบ ๆ รอยพระพุทธบาท กางเต็นท์ครอบไว้ไม่ให้ถูกแดดถูกฝน และได้ทำพิธีเปิดรอพระพุทธบาทขึ้นในวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๙ ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ โดยมีพุทธศาสนิกชนมาร่วมงานกันมากมายกว่า ๕๐๐ คน