ยุคศิวิไลซ์

     ยุคศิวิไลซ์ หลวงพ่อเล่าว่า ในยุคก่อนเขาประกาศว่าเป็น ร.ศ. หมายถึงรัตนโกสินทร์ศก สมัยนี้ถ้าไม่เกิด ม.ศ. ไม่ได้ ถ้าเกิด ม.ศ.ต้องประมวล ๕ ม.ศ.๕ ถ้าไม่ลง ๕ ชาติบ้านเมืองไม่เหลือ ฉะนั้นจึงประมวลเอา ม.ศ.๕ มากั้นไว้ไม่ให้มันเดินไปได้ เมื่อเดินไม่ได้มันก็กลับมาอยู่ที่เดิมกลับมาอยู่ที่กษัตริย์ ถ้าอย่างนั้นกษัตริย์จะไม่มี ม. คือมังกรมันต้องเป็นยุคสมัยก่อน เมื่อเกิดยุคสมัยแล้วมาบรรจบ ๕มันจะเป็นมังกร เพราะ ม. เป็นอักษรของมึงกร มังกรเป็นใหญ่ ถ้ามีใคร ม.ศ. อยู่ มีสัญลักษณ์ ม.ศ. ที่ไหน นั่นคือเรารองรับพระองค์ท่าน รองรับบารมีพระองค์ท่าน ประกาศพระองค์ท่าน ฉะนั้น ม.ศ. จึงมาบรรจบกันให้ได้ ๕ สมัย ทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ๕ สมัย ๕ รัฐบาล ตั้งแต่นายก ฯทักษิณมาจนถึงนายก ฯ อภิสิทธิ์ นี่คือ ๕ สมัยของ ม.ศ. และ ๕ สมัย ก็มาบรรจบกัน หลังจากนี้ไปก็เป็นศิวิไลซ์เต็มตัว ศิวิไลซ์ล้ำหน้า ช่วงก่อนยังไม่ล้ำหน้า แค่ประกาศศิวิไลซ์ แต่ในยุคนี้จะเกิดการจลาจลมากมายขนาดไหน สิ่งที่เกิดขึ้นมันอยู่ในตำนานของเรา ไม่ว่าจะเล่นการเมืองหรือพูดกันเรื่องอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้มีตำนานเล่าขาน มันเกิดโดยมีที่มา ไม่ใช่มันเกิดขึ้นโดยพลการ ไม่ใช่เกิดเพราะว่าคนแก่งแย่งโลภหรืออะไร สิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้คือ สุริยะธาตุ เมื่อสุริยะธาตุปรากฏขึ้นแล้วก็จะทำให้โลกนี้สั่นสะเทือน ทำให้เกิดการปั่นป่วนไปทุกอย่างจะเป็นโรคระบาด ภัยหายนะสารพัดอย่าง ระบบดาวเทียมล่ม เข้าสู่กลียุคข้าวยากหมากแพง มันเกิดขึ้นทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ แม้แต่น้ำมันยังยกตัวขึ้นได้ นั่นคือประกาศ อันนี้มันเกิดในยุคในสมัย ต่อไปก็จะเกิดเรื่องตามที่ตำนานท่านเขียนไว้ ตรงนี้ตำนานท่านเขียนไว้ว่า “กู่กู่ก้องขึ้นสู่สุวรรณภูมิ พระสีส้มโยนสีเหลืองเป็นหมู่ กู่กู่ก้องขึ้นสุวรรณภูมิ” ตรงความเห็นตามที่พระพุทธองค์ได้กล่าวไว้ มันเป็นเรื่องที่พระพุทธองค์ทรงให้ประกาศดินแดนสุวรรณภูมิในอดีตการประกาศสุวรรณภูมิก็ต้องไปประกาศที่สุวรรณภูมิ เพราะสนามบินสุวรรณภูมิเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของคนทั้งโลก ถ้าไปยึดตรงนั้นใคร ๆ ก็รู้ว่านี่คือสุวรรณภูมิ มันก็โด่งดัง คนทั้งโลกก็อกสั่นขวัญแขวนและรู้จักสุวรรณภูมิ นั่นแหละคือประกาศสูงสุดของสุวรรณภูมิ นั่นคือประกาศด้านถิ่นเดิมสถานะเดิมของสุวรรณภูมิของแผ่นดินไทย ประกาศตรงนั้นก็จบ เขามีหน้าที่ประกาศตรงนั้นก็จบเรื่องนี้มันมีอยู่ในตำนาน ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเราสามารถอธิบายชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ แต่ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่ามันเกิดจากอะไรคนทั้งโลกทั้งแผ่นดินพูดคำเดียวกันว่า บ้านเรามันเกิดอะไรขึ้น โลกนี้มันเกิดอะไรขึ้น เขาไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร มันก็เกิดจากสุริยะธาตุปรากฏเกิดขึ้นนั่นเองในเมื่อพระพุทธองค์ทรงอุบัติเกิดขึ้น ผู้มีบุญบารมีมารองรับศาสนาก็ได้มาบังเกิดขึ้น มันมาบรรจบกัน แค่พระพุทธองค์มาอุบัติบังเกิดขึ้น โดยพุทธสรีระ ผู้มีบารมีที่จะมารองรับต้องเป็นกษัตริย์ แต่การอุบัติเกิดขึ้นของพระพุทธองค์นั้น สิ่งที่มหัศจรรย์และรุนแรงมากที่สุดก็คือพระธาตุสด พระธาตุสดได้ปรากฏขึ้นในโลกปัจจุบันนี้มีอยู่ ๓ ชิ้นด้วยกันคือ พระนขา (เล็บ) พระทันตธาตุ พระโลหิต พระธาตุสด ๓ อย่างนี้เปรียบเสมือนพระพุทธองค์เสด็จมา เพราะว่าสรีระเหล่านี้ไม่ได้ถูกเผาเป็นของสด เสมือนพระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ ยังไม่ได้ถูกเผาสิ่งนี้แหละเป็นสื่อที่จะสืบทอดพระศาสนาของพระพุทธองค์ เป็นตัวแทนของพระองค์ ชิ้นส่วนเหล่านี้ยังไม่ได้เผายังมีชีวิตอยู่ พระพุทธองค์ยังไม่ตาย สิ่งที่ตายแล้วและถูกเผาไปแล้ว เช่น ข้อพระหัตถ์เบื้องขวาเป็นพระสารีริกธาตุ แต่สิ่งที่ยังไม่เผาเป็นของสดเป็นพุทธธาตุ เช่น พระทันตะธาตุ(พระเขี้ยวฝาง)พระโลหิตธาตุ พระนขาธาตุ นี้เป็นของสดของพระพุทธเจ้าที่จะมาสืบต่ออายุพระศาสนา ได้เสด็จมาอยู่ที่วัดภูพลานสูงแล้วผู้เขียนได้ขอให้หลวงพ่อเล่าประวัติความเป็นมาของพระบรมสารีริกธาตุข้อพระหัตถ์เบื้องขวา และพระสรีรังคาร หลวงพ่อได้เมตตาเล่าว่าหลังจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็ได้มีการประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในวันแรม๘ ค่ำ เดือน ๖ เมื่อทำการถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว ได้มีการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วน แจกจ่ายให้แก่มัลละกษัตริย์และพราหมณ์ วัตถุประสงค์เพื่อให้สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้แพร่กระจายไปยังทุกสารทิศ พุทธศาสนิกชนจะได้กราบไหว้สักการบูชากันพ.ศ. ๑๒ ได้มีพิธีมอบพระบรมสารีริกธาตุส่วนข้อพระหัตถ์เบื้องขวาและพระสรีรังคารให้กับพระเทวจักร กิตฺติโก ซึ่งเป็นประธานสงฆ์ในเขตสุวรรณภูมิ เมื่อท่านได้รับมอบแล้วได้อัญเชิญเข้าเมืองหงสาวดี ข้อพระหัตถ์เบื้องขวาและพระสรีรังคารอยู่ที่นครหงสาวดีได้ ๑ ปี พ.ศ. ๑๓เกิดสงครามแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ พระเทวจักรจึงได้นำพระบรมสารีริกธาตุไปเก็บไว้ที่เมืองสิบสองปันนาตอนเหนือของสุวรรณภูมิ และได้สร้างเจดีย์โพนเงาเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อีก ๖ เดือนต่อมาได้เกิดการแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุอีก พระเทวจักรจึงได้อัญเชิญมาที่เมืองแสน(ปัจจุบันคืออำเภอเชียงแสน จ.เชียงราย) ณ ที่นี้เองพระเทวจักรได้เชิญพระราชาทุกเขตเมืองในสุวรรณภูมิมาประชุมกันเพื่อหาข้อยุติในการแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ ท่านได้ประกาศว่าหากเมืองใดสร้างเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเสร็จก่อนและสมพระเกียรติก็จะมอบพระบรมสารีริกธาตุให้กับเมืองนั้นพระยาอัญญาอองแว เจ้าเมืองนครจำปาศรี ได้น้อมถวายปราสาทอินทปัต ซึ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วให้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เจ้าเมืองต่าง ๆ จึงพากันไปตรวจสอบปราสาทหลังนั้น ต่างก็มีความเห็นตรงกันว่าเป็นสถานที่เหมาะสมจึงพร้อมใจกันมอบพระบรมสารีริกธาตุให้ประดิษฐานที่ปราสาทอินทปัตพระบรมสารีริกธาตุได้ประดิษฐานที่ปราสาทอินทปัตเป็นเวลานานถึง ๑๖ ปี จึงได้เกิดการทำสงครามแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุอีกพระเทวจักรจึงได้นำพระบรมสารีริกธาตุไปหาที่ซ่อนใหม่ที่ปราสาทหินศาลพระพรหม ซึ่งเป็นสถานที่สักการะพระพรหมของเหล่ากษัตริย์ ปราสาทนี้มียักษ์ตนหนึ่งเฝ้าดูแลรักษาอยู่ พระเทวจักรได้พูดจาหว่านล้อมจนเทวยักษ์เกิดความเลื่อมใส พระเทวจักรจึงมอบหมายให้เทวยักษ์เป็นผู้ดูแลพระบรมสารีริกธาตุ และให้เทวยักษ์ตามหาพระยาธรรม ซึ่งเป็นผู้มีบุญบารมีที่จะมาดูแลรักษาพระบรมสารีริกธาตุและสามารถประกาศเชิดชูพระเกียรติคุณขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เมื่อพระเทวจักรได้มอบหมายภารกิจให้แก่เทวยักษ์แล้ว พระเทวจักรได้อธิษฐานให้สงครามแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุสงบเกิดสันติสุขทุกหัวเมือง และพระเทวจักรได้บันทึกเรื่องราวของพระบรมสารีริกธาตุไว้ในพระคัมภีร์เพื่อเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่อไป เมื่อบันทึกเสร็จท่านได้เก็บไว้ที่ปราสาทศาลพระพรหม และท่านได้ละสังขารเมื่อ พ.ศ. ๓๐