หลวงพ่อเล่าให้ผู้เขียนฟังถึงเรื่องพระพุทธโลหิตและพระพุทธทันตะว่า หลังจากที่หลวงพ่อได้พบกับหลวงพ่อพระโตโคตะมะและหลวงปู่โมคคัลลานะ
และได้ประกาศเผยแผ่เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธนขา ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้หลวงพ่อได้สัมผัสกับพระรัศมีของพระพุทธโลหิตที่วัดภู พลานสูง เมื่อวันขึ้น
๑๕ ค่ำ เดือน ๘ บรรดาพระลูกศิษย์และญาติโยมได้บันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานจากนั้นหลวงพ่อได้ไป สอบถามเรื่องราวของพระพทธโลหิตจากหลวงปู่ใหญ่โมคคัล ลานะ ทำให้หลวงพ่อได้ทราบกำหนดวันเสด็จมาของพระพุทธโลหิต ซึ่งจะเสด็จมาที่วัดภูหลานสูงช่วงวันออกพรรษา คือ วันขึ้น๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ หลวงพ่อจึงได้บอกข่าวมหากุศลแก่บรรดาศิษยานุศิษย์เพื่อเตรียมการรับเสด็จ ก่อนจะถึงวันรับเสด็จพระพุทธโลหิต หลวงพ่อได้รับคัมภีร์โบราณ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ เมื่อหลวงพ่อศึกษาพระคัมภีร์โบราณนั้นทำให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับพระพุทธ โลหิตชัดเจนยิ่งขึ้น พระพุทธโลหิตองค์นี้เป็นพระพุทธโลหิตที่พระพุทธองค์ทรงอาเจียนหลังจากที่ฉัน อาหารสุกรมัทวะ ที่นายจุนทะนำมาถวาย เมื่อพระพุทธองค์ทรงอาเจียนออกมาเป็นพระพุทธโลหิต พระอานนท์ซึ่งเป็นพุทธอุปัฏฐากได้เก็บรักษาไว้ เทวดาเห็นเข้าจึงได้ขอพระอานนท์ พระอานนท์ขณะนั้นไม่มีกะจิตกะใจอะไร เพราะเป็นห่วงพระพุทธองค์ เมื่อเทวดาขอพระพุทธโลหิตก็มอบให้เทวดาไป ขณะนั้นเองพระยายักษ์เห็นจึงได้เข้ามาขอต่อจากเทวดา เทวดาจึงมอบให้พระยายักษ์นำพระพุทธโลหิตไปเมืองพยัคฆอินแปลง ประดิษฐานไว้บนยอดปราสาท พระพุทธโลหิตอยู่ในการอารักขาของพระยายักษ์ตลอดมาจนกระทั่งได้มาปรากฏเปล่ง รัศมีที่วัดภูพลานสูงการที่พระพุทธโลหิตมาปรากฏนี้ หลวงปู่ใหญ่โมคคัลลานะได้บอกหลวงพ่อว่า ท่านจะนำมามอบให้ด้วยมือท่านเอง พอถึงวันที่ ๒๑กันยายน ๒๕๔๙ ตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ เวลา ๑๖.๐๐ น. หลวงพ่อได้รับโทรศัพท์จากพระลูกศิษย์ที่วัดป่าคำบอนว่า ที่รูปปั้นหลวงปู่ใหญ่โมคคัลลานะมีวัตถุบางอย่างวางอยู่ที่มือของรูปปั้น หลวงปู่ใหญ่เปล่งรัศมีวาววามสว่างไสวท่ามกลางอากาสที่แปรปรวน มีฝนฟ้าตั้งเค้ามามืดฟ้ามัวดิน หลวงพ่อเมื่อได้รับแจ้งข่าวแล้วจึงรีบไปที่วัดป่าคำบอนพร้อมญาติโยม เมื่อไปถึงหลวงพ่อได้เห็นพระพุทธโลหิตและพระพุทธทันตะของพระพุทธองค์วางอยู่ บนมือของรูปปั้นหลวงปู่ใหญ่ จากนั้นหลวงพ่อได้อัญเชิญพระพุทธโลหิตและพระพุทธทันตะมาเก็บรักษาไว้ที่วัด ภูพลานสูงตามตำนานกล่าวว่า ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้เสวยอาหารที่มีชื่อว่าสุกรมัทวะ ก็คือเห็ดเชียงห่ม ภาษาอีสานเรียกว่าเห็ดเลือด เห็ดเลือดจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม เดือน ๖ ฝนตกใหม่ ๆ เห็ดชนิดนี้กินอร่อยดีแต่มีพิษมาก เห็ดนี้ถ้าจะกินไม่ให้เป็นพิษต้องกินปลายฝน ประมาณเดือน ๑๐ – ๑๒ พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นว่า ตอนนั้นพระองค์มีอายุ ๘๐ พรรษา อยู่ในวัยชราก็จริงแต่ยังแข็งแรง แต่ถึงคราวบรรจบของพระพุทธองค์ บางคนบอกว่าพญามารมานิมนต์มันก็ใช่ แต่ความจริงพระพุทธองค์ได้พิจารณาวิเคราะห์แล้วว่า พระพุทธเจ้าอุบัติบังเกิดขึ้นในตำนาน พระองค์ต้องสร้างตำนานของพระองค์ให้งามตั้งแต่ต้นท่ามกลางและที่สุด พระองค์ทรงพิจารณาแล้ว ๘๐ พรรษานี้สมควรแล้ว สมควรจะเป็นตำนานทรงไว้ซึ่งความเป็นอมตะของพระองค์ พระองค์จึงพิจารณาทำลายสังขารของพระองค์เอง พระองค์ทรงพิจารณาว่าถ้าอยู่เป็นร้อย ๆ ปี พระพุทธเจ้าก็แก่ชราดูแล้วไม่งาม ไม่สมกับเป็นมหาบุรุษ ๘๐ พรรษากำลังงาม พระองค์จึงเลือกเสวยเห็ดชนิดนี้ เมื่อพระองค์เสวยเข้าไปแล้ว เคยเห็นไหมคนกินเห็นเป็นพิษ เมื่อกินเข้าไปแล้วมันจะอาเจียนขับถ่ายสารอาหารจากร่างกายจนหมด เมื่อขับสารอาหารออกจากร่างกายแล้ว ร่างกายก็จะไม่เน่าไม่เปื่อยเร็ว ในส่วนนี้พระไตรปิฎกไม่ได้บันทึกไว้เลยว่า ทำไมพระพุทธองค์ทรงเลือกเสวยเห็ดชนิดนี้ เพราะพระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นคุณและโทษ ๒ อย่างจึงได้เลือกเสวย ในพระไตรปิฎกไม่มีการบันทึกไว้และยังไม่ยืนยันว่าเป็นเห็ด เพียงแต่บอกว่าเป็นสุกรมัทวะ บางแห่งก็แปลว่าเนื้อหมูอ่อนในตำนานพระยาธรรมท่านเขียนไว้ว่าเป็นเห็ดโดย เฉพาะ เห็ดเลือด เห็ดเชียงห่มมันเกิดในต้นฝนเดือนเมษายน – พฤษภาคม พระองค์ก็เลยเลือกเสวยเห็ดสุกรมัทวะแล้วก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดสด ๆ เป็นก้อน พระพุทธองค์ให้เทวดาเอาไปเก็บรักษา ตอนนั้นพระอานนท์ไม่มีใจที่จะดูแลอะไร เพราะเป็นห่วงพระพุทธองค์ เมื่อเทวดาได้พระพุทธโลหิตก็เดินออกไป พระยายักษ์เดินเข้ามาพอดี มาเจอพระพุทธโลหิตที่เทวดาถืออยู่ พระยายักษ์พูดกับเทวดาว่า ดูก่อนท่านเทวดา ท่านจะเอาพระพุทธโลหิตเสียไปทำไม พระพุทธองค์ทรงประชวรเพราะเห็ด เลือดก้อนนี้เป็นพิษทำให้พระพุทธองค์ปรินิพพาน เราเป็นพระยายักษ์ยังไม่ได้อะไรจากพระพุทธองค์เลย เราเฝ้าดูแลติดตามอารักขาพระพุทธองค์มานาน พระพุทธโลหิตสดนี้ไม่สมควรที่จะเอาขึ้นสู่สวรรค์ เราเป็นยักษ์ยังไม่ได้อะไร ท่านได้ไปแล้วพระพุทธเกศา เทวดาก็เลยมอบพระพุทธโลหิตให้แก่พระยายักษ์ เมื่อพระยายักษ์ได้พระพุทธโลหิตแล้วก็เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ ขณะนั้นพระพุทธองค์ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระยายักษ์ว่า “ดีแล้วพระยายักษ์เธอทำถูกต้องแล้ว จะได้เป็นประโยชน์แก่เธอ” จากนั้นพระยายักษ์ก็ได้นำพระพุทธโลหิตไปเก็บไว้ที่นครนักขยักษ์ พระพุทธโลหิตจะมีอยู่ ๓ องค์ องค์ใหญ่คือองค์นี้ องค์เล็กยังเหลืออยู่อีก ๒ องค์ ขนาดเท่าเม็ดมะขาม เอาไว้เพื่อต่ออายุพระศาสนาในเบื้องหน้าหลวงพ่อบอกกับผู้เขียนว่ามัน อัศจรรย์นะโยม ๒ พันกว่าปี พระพุทธโลหิตของพระพุทธองค์ยังไม่แข็งตัวเป็นหิน ตอนเสด็จมาใหม่ ๆ หลวงพ่อจับดูเหมือนตับไก่ มันนิ่ม ๆ เย็น ๆ หลวงพ่อไปจับดูลายนิ้วมือหลวงพ่อติดเป็นรอยที่พระพุทธโลหิต ในพระพุทธโลหิตตอนนี้มีรอยนิ้วมือหลวงพ่ออยู่ เป็นเลือดสด ๆ นะ ถ้าเป็นเลือดพวกเรามันจะเหลือหรือ พอพระพุทธโลหิตถูกอากาศก็แข็งตัว นี่คือพระพุทธโลหิตสดของพระพุทธองค์ ตั้งแต่เกิดมาหลวงพ่อก็ยังไม่เคยเห็นสิ่งอัศจรรย์อะไรอย่างนี้ หลวงพ่อเป็นคนไม่คลั่งไคล้ในเรื่องเครื่องรางของขลังและพระธาตุอะไรเลย ไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ แต่บังเอิญมาบรรจบก็ศึกษา เมื่่อหลวงพ่อมารับงานหลวงพ่อก็ต้องทำต้องพูด ถ้าเราไม่รู้เรื่องราวรายละเอียดอย่างนี้เราก็ไปประกาศไม่ได้ ถ้าเกิดมีคนมาถามว่าพระพุทธโลหิตสดมาจากไหน พระพุทธทันตะคืออะไร เราจะตอบได้อย่างไร หลวงพ่อศึกษาและรู้รายละเอียดดีจึงตอบคำถามเหล่านั้นได้ เราต้องรู้ทุกคำตอบ สามารถตอบได้หมด ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญฉะนั้นเราต้องวางแผน บางคนบอกว่าไม่ใช่ตำนาน ไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้แล้ว แต่นี่มันเป็นตำนาน เราต้องทำตำนานถวายพระพุทธองค์ เรามีหนังสือเป็นคำตอบ คือคัมภีร์ก้อมอันนี้ไว้เป็นทุนเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไว้เป็นตำนาน เราไปแกะสลักเอาไว้ที่หน้าผาประวัติศาสตร์ทำไว้ให้เป็นบันทึกหลักฐาน คิดว่าตำนานเมื่อเขียนเสร็จเรียบร้อย มีคนเรียบเรียง มีคนบันทึกเรื่องราวแล้วเอามาทำเป็นหนังสือ หลวงพ่อจะเขียนเป็นสมุดข่อยเล่มใหญ่ จะเขียนด้วยลายมือบันทึกไว้เป็นเล่ม หนังสือเรื่องราวเหล่านี้หลวงพ่ออยากจะเขียนเป็นภาษาไทยบ้าง เป็นภาษาขอมโบราณบ้าง ภาษาธรรมโบราณบ้าง แล้วแต่จะหาคนมาเขียนให้จบ ทำเป็นภาษาเขมรสักเล่มหนึ่ง เราต้องทำให้สำเร็จ ทำเก็บไว้เป็นหลักฐานเป็นประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้มาศึกษาความเป็นมา เป็นไปต่าง ๆ ของสิ่งเหล่านี้