ย้อนหลังไปก่อนพุทธกาลจากกรุงราชคฤห์ไปไม่ไกลนัก มีหมู่บ้านพราหมณ์อยู่ ๒ หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งชื่อว่าอุปติสสะคาม หมู่บ้านนี้มีหัวหน้าชื่อว่าวังคันตะ ภรรยาชื่อสารี มีลูกชาย ๔ คน ลูกสาว ๓ คน จะกล่าวเฉพาะลูกชายคนแรกที่ชื่อว่า อุปติสสะ แต่ชาวบ้านมักเรียกตามชื่่อมารดาว่าสารีบุตร ซึ่งแปลว่าเป็นบุตรของนางสารี ส่วนอีกหมู่บ้านหนึ่งคือหมู่บ้านโกลิตะคาม มีหัวหน้าชื่อว่าโกลิตะ ภรรยาชื่อนางโมคคัลลี มีลูกชายคนหนึ่งชื่อ โมคคัลลานะ ทั้งสองตระกูลต่างก็มีความมั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์และบริวารเช่นกัน จึงคบหาสมาคมรักใคร่นับถือเป็นญาติเป็นสหายกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพชน ดังนั้นลูกชายของทั้ง ๒ ตระกูลซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงพลอยรักใคร่สนิทสนมคบหาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เข้าเรียนในสำนักอาจารย์เดียวกัน แม้เมื่อเรียนจบจนเติบโตเป็นหนุ่มแล้วก็ยังเป็นเพื่อนกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาทั้งสองไปเที่ยวดูงานมหรสพด้วยกัน แต่ครั้งนี้ทั้งสองไม่ได้มีความรู้สึกสนุกสนานรื่นเริงเหมือนครั้งก่อนๆ ทั้งสองจึงพาบริวารไปขอบวชอยู่ในสำนักของอาจารย์สญชัยปริพาชก ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่อยู่ในเมืองราชคฤห์สำนักหนึ่ง อาศัยที่ทั้งสองมีปัญญาเป็นเลิศ เมื่อได้เข้าไปศึกษาจึงสามารถเรียนรู้ลัทธิของอาจารย์สญชัยได้ทั้งหมดในเวลา ไม่นานนัก ดังนั้นเขาทั้งสองจึงถูกขอร้องจากอาจารย์สญชัยให้อยู่เป็นอาจารย์สอนศิษย์ ด้วยกัน แต่เขามิได้ตอบตกลงเพราะเห็นว่าการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักของอาจารย์ ไร้ประโยชน์ ด้วยไม่เป็นหนทางที่จะให้บรรลุโมกขธรรมได้ ทั้งสองจึงลาออกจากสำนักเที่ยวเสาะแสวงหาผู้มีวิชาความรู้แต่ก็หาได้พบ อาจารย์ผู้สอนโมกขธรรมไม่ จึงเดินทางกลับมาที่สำนักเดิมอีกและทั้งสองได้ให้สัญญากันไว้ว่า ถ้าใครได้บรรลุโมกขธรรมก่อนจะต้องกลับมาบอกให้แก่อีกคนหนึ่งรู้ด้วย แล้วต่างคนก็แยกย้ายกันไปแสวงหาโมกขธรรมเมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงธรรมสั่งสอนมหาชนจนมีสาวกมากขึ้นพอที่จะเป็นกำลังในการประกาศเผยแผ่ พระศาสนาได้แล้ว พระองค์ได้ส่งพระสาวกเหล่านั้นออกเผยแผ่ศาสนาตามบ้านเมืองต่างๆ ส่วนพระองค์ก็เสด็จจาริกประกาศพระศาสนาเรื่อยมา กระทั่งทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาในเมืองราชคฤห์ได้สำเร็จ และพระองค์ได้ประทับอยู่ที่วัดเวฬุวันในช่วงเวลาดังกล่าว พระอัสสชิเป็นผู้หนึ่งในคณะปัญจวัคคีย์และคณะพุทธสาวกรุ่นแรก ๖๐ รูป ที่พระพุทธเจ้าทรงส่งไปประกาศพระศาสนาในที่ต่างๆ ในเวลานั้นพระอัสสชิทราบว่าพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่วัดเวฬุวันจึงเดินทางมา เข้าเฝ้า เแกือบจะถึงตัวเมืองราชคฤห์ ขณะนั้นเป็นเวลาเช้าท่านจึงเข้าไปบิณฑบาตในตัวเมือง บังเอิญ อุปติสสะปริพาชกเดินผ่านมาทางนั้น พอเห็นพระอัสสชิก็เกิดความเลื่อมใสในกิริยาท่าทางอันสำรวมระวังของท่านอุปติ สสะปรารถนาจะเข้าไปถามถึงผู้เป็นอาจารย์ของท่าน แต่เห็นว่ายังมิใช่กาลอันสมควร ท่านจึงเดินตามไปข้างหลัง จนกระทั่งพระอัสสชิกลับจากบิณฑบาต เมื่อได้โอกาสท่านจึงถามพระอัสสชิ และขอฟังธรรมจากพระอัสสชิ พระอัสสชิบอกว่าท่านยังบวชมากได้ไม่นาน ไม่อาจแสดงธรรมได้โดยลึกซึ้ง ขอแสดงธรรมโดยย่อมิใจความว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นและความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระพุทธองค์มีปกติตรัสอย่างนี้ อุปติสสะเกิดดวงตาเห็นธรรมทันที “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดต้องมีความดับไปเป็นธรรมดา” จากนั้นอุปติสสะได้ถามพระอัสสชิว่าเวลานี้พระพุทธเจ้าของเราประทับอยู่ ณ ที่ใด เมื่อได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ใดอุปติสสะก็ได้เดินทางไปหาโกลิตะ ผู้เป็นสหายบอกข่าวที่ตนเองได้พบพระอัสสชิพร้อมทั้งได้แสดงธรรมอันนั้นให้ แก่โกลิตะฟัง เมื่อจบลงโกลิตะก็ได้บรรลุธรรมจักษุเช่นเดียวกัน แล้วทั้งสองพร้อมทั้งบริวารจึงชวนกันไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเมื่อไปถึงก็ทูลขอ อุปสมบท ซึ่งกระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา แล้วทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดพวกเขาทุกคนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ยกเว้นอุปติสสะกับโกลิตะนับจากวันที่ได้อุปสมบทมา ๗ วัน พระโมคคัลลานะท่านได้ไปนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ที่หมู่บ้านกัลลวาลมุตคาม ในรัฐมคธ ถูกความง่วงเหงาหาวนอนเข้าครอบงำ ไม่สามารถทำความเพียรได้ ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณว่าพระโมคคัลลานะโงกง่วงอยู่ จึงทรงกระทำปาฏิหารย์ให้เห็น ปรากฎประหนึ่งว่าพระพุทธองค์เสด็จลงมาประทับอยู่เฉพาะหน้าพระโมคคัลลานะ ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงเป็นลำดับดังนี้
๑. เมื่อมีสัญญาอย่างไรก็ให้พยายามใส่ใจถึงสัญญาเหล่านั้นไว้ให้มาก และถ้ายังไม่หาย
๒. จงพิจารณาธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้ว และถ้ายังไม่หาย
๓. จงท่องบ่นธรรมนั้นซึ่ง ได้เรียนได้ฟังมาแล้ว และถ้ายังไม่หาย
๔. จงยอนหูทั้ง ๒ ข้าง และเอามือลูบตัวไปมา และถ้ายังไม่หาย
๕. จงยืนขึ้น แล้วเอาน้ำลูบตัว เหลียวมองดูทิศต่างๆ และแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า ถ้ายังไม่หาย
๖. จงคิดว่าเป็นเวลากลางวัน และถ้ายังไม่หาย
๗. จงเดินจงกรม คือเดินกลับไปกลับมา พร้อมทั้งสำรวมอินทรีย์ทำจิตให้เป็นสมาธิ ไม่คิดฟุ้งซ่าน และถ้ายังไม่หาย
๘. จงนอนพักเสียก่อน แต่ต้องนอนตะแคงข้างขวาซ้อนเท้าด้วยเท้า (ท่าสีหไสยาสน์) ให้มีสติสัมปชัญญะ ตั้งใจว่าจะลุกขึ้น เมื่อตื่นแล้วก็จงลุกขึ้นทันที
ครั้งตรัสสอนอุบายสำหรับแก้ความง่วงแล้ว ก็ทรงประทานพระโอวาท ๓ ข้อให้แก่พระโมคคัลลานะดังนี้
– โมคคัลลานะเธอจงทำไว้ในใจว่า เราจักไม่ชูงวง คือความถือตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่เข้าไปสู่สกุล เพราะถ้าภิกษุถือตัวเข้าไปสู่สกุลด้วย คิดว่าเขาจะต้องต้อนรับเราอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าคนในสกุลเขามีงานมากเขาไม่ใส่ใจต้อนรับ เธอก็จะเกิดความฟุ้งซ่านคิดไปต่างๆนาๆ เกิดความไม่สำรวม จิตก็จะห่างจากสมาธิ
– โมคคัลลานะ เธอพึงสำเหนียกไว้ว่า เราจักไม่พูดคำอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะถ้าเถียงกันจะต้องพูดมาก และผิดใจกันเป็นเหตุให้ฟุ้งซ่านไม่สำรวม และจิตก็จะห่างจากสมาธิ
– โมคคัลลานะ ตถาคตไม่สรรเสริญการคลุกคลีด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่ตำหนิการคลุกคลีไปทุกอย่าง คือเราไม่สรรเสริญการคลุกคลีกับหมู่ชนทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต แต่เราสรรเสริญการคลุกคลีด้วยเสนาสนะ อันสงบสงับปราศจากเสียงอื้ออึง ควรแก่การหลีกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย
สุดท้ายทรงแสดงตัณหักขยธรรม คือข้อปฏิบัติที่เมื่อภิกษุปฏิบัติแล้ว ชื่อว่าน้อมไปในธรรมอันเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เมื่อพระโมคคัลลานะปฏิบัติตามพุทธโอวาทที่ทรงตรัสสอน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันเดียวกันนั้น
พระมหาโมคคัลลานะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนา ช่วยแบ่งเบาภารกิจและยังพุทธดำริต่างๆให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เพราะท่านมีฤทธิ์มีอานุภาพยิ่งกว่าสาวกรูปอื่นๆ จนได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้ดำรงตำแหน่งพระอัครสาวกเบื้องซ้าย นอกจากนี้พระมหาโมคคัลลานะยังเป็นผู้มีความสามารถในงานนวกรรม คืองานก่อสร้าง พระบรมศาสดาเคยทรงมอบหมายให้ท่านรับหน้าที่นวกัมมาธิฏฐายี คือผู้ควบคุมดูแลการก่อสร้างวิหารบุปผาราม ที่เมืองสาวัตถี ซึ่งนางวิสาขมหาอุบาสิกาได้บริจาคทรัพย์สร้างถวายอีกด้วย